เผยแพร่: ปรับปรุง: โดย: ผู้จัดการออนไลน์
กาญจนบุรี – ย้อนอดีต ทางรถไฟสายมรณะ และการจัดงาน “สัปดาห์สะพานข้ามแม่น้ำแคว-งานกาชาดจังหวัดกาญจนบุรี” ประจำปี 2564 กับอธิสรรค์ อินทร์ตรา หัวหน้าสำนักงานจังหวัดกาญจนบุรี
วันนี้( 3 ธ.ค.) นายอธิสรรค์ อินทร์ตรา หัวหน้าสำนักงานจังหวัดกาญจนบุรี เปิดเผยว่า กลุ่มงานข้อมูลสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานจังหวัดกาญจนบุรี ได้รวบรวมข้อมูลความเป็นมา เกี่ยวกับประวัติการก่อสร้างทางรถไฟสายมรณะเอาไว้ เพื่อให้ประชาชนและเยาวชนคนรุ่นหลังได้รับรู้ถึงประวัติศาสตร์ที่แท้จริง ดังนี้
การก่อสร้างทางรถไฟสายนี้ กองทัพญี่ปุ่นเข้าดำเนินการสำรวจเอง และกรมรถไฟไทย(ชื่อเดิมก่อนเปลี่ยนเป็นการรถไฟแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2494)ช่วยเหลืออำนวยความสะดวกในช่วงแรก เริ่มสร้างจากสถานีหนองปลาดุก (กิโลเมตรที่ 64+196)ถึงสถานีกาญจนบุรี ระยะทางยาวประมาณ 50 กิโลเมตร เป็นทางราบโดยตลอด
ส่วนจากสถานีกาญจนบุรีถึงสถานีน้ำตกภูมิประเทศเริ่มเป็นเนินสูง มีภูเขาเล็กน้อยและจากน้ำตกขึ้นไปเป็นเขามีลาดชันสูงจนถึงจุดสูงสุดที่เรียกกันว่า “ถ้ำผี”แล้วจึงลาดลงผ่านหมู่บ้านและตำบลน้ำตกไทรโยก จนถึงตำบลท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิเป็นระยะทางยาวรวม 88 กิโลเมตร จากนั้นเลียบลำน้ำแควน้อยขึ้นไปจนถึงนิเกะ กิ่งอำเภอสังขละบุรี(อำเภอสังขละบุรีปัจจุบัน ) และไปจนถึงพรมแดนไทย-พม่า ที่ด่านเจดีย์สามองค์ รวมระยะทาง 303.95 กิโลเมตร
เนื่องจากเป็นทางรถไฟยุทธศาสตร์เพื่อใช้ในกิจการทหารกองทัพญี่ปุ่นได้สร้างเป็นสะพานไม้เป็นส่วนใหญ่ เพื่อให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ไม่เสียเวลาในการทำงานโดยในเขตไทยมีจำนวน 359 สะพาน รวมถึงสะพานไม้ข้ามแม่น้ำแควใหญ่ที่บ้านท่ามะขามซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนามของ “สะพานข้ามแม่น้ำแคว”
การสร้างสะพานข้ามแม่น้ำแคว กองทัพญี่ปุ่นได้ใช้เชลยศึกสร้างเป็นสะพานไม้ชั่วคราวระดับต่ำห่างจากสะพานเหล็กปัจจุบันไปทางใต้ของลำน้ำประมาณ 100 เมตร หรือเมื่อหันหน้าไปทางสถานีน้ำตก สะพานไม้ชั่วคราวจะอยู่ทางซ้ายมือโดยลงมือก่อสร้างเมื่อระดับน้ำในแม่น้ำลดลงในปลายเดือนพฤศจิกายน 2485 แล้วเสร็จในเดือนกุมภาพันธ์ 2486 ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 3 เดือน และวางราง
โดยเชลยชาวอังกฤษจากสถานีต้นทางหนองปลาดุกถึงสะพานแห่งนี้ เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2486 จากนั้นวางรางต่อจากสะพานไปถึงกิโลเมตรที่ 100 ระหว่างสถานีท่ากิเลนกับสถานีอ้ายหิต (ที่หยุดรถลุ่มสุ่มในปัจจุบัน) เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2486
ต่อมา กองทัพญี่ปุ่นได้สร้างเป็นสะพานเหล็กถาวร ตอม่อคอนกรีต ติดตั้งสะพานเหล็ก 11 ช่วง ช่วงละ20.80 เมตร ในตอนกลาง และสร้างเป็นสะพานไม้ต่อทางฝั่งน้ำด้านตะวันตกโดยลงมือก่อสร้างเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2486 แล้วเสร็จเมื่อเดือนกันยายน 2486ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 7 เดือน หลังจากเปิดใช้สะพานเหล็กแล้ว ฝ่ายไทยได้เจรจาขอให้กองทัพญี่ปุ่นรื้อสะพานไม้ออก เนื่องจากเรือแพสัญจรผ่านไปมาไม่ได้ เพราะสะพานไม้ต่ำฝ่ายญี่ปุ่นจึงทำการรื้อสะพานไม้ที่สร้างไว้ในตอนแรกออก แล้วเสร็จเมื่อวันที่18 กุมภาพันธ์ 2487
ภัยทางอากาศ ตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน 2487 เป็นต้นมา สะพานข้ามแม่น้ำแควใหญ่ได้ถูกฝ่ายสัมพันธมิตรทิ้งระเบิดหลายครั้ง และครั้งที่ถูกทิ้งระเบิดอย่างหนัก ทำให้เสียหายถึงกับสะพานช่วงกลางพังลงเมื่อวันที่ 28พฤศจิกายน 2487 แต่ฝ่ายญี่ปุ่นได้เตรียมการแก้ไขล่วงหน้าไว้แล้วโดยทำทางเบี่ยงลงไปยังฝั่งแม่น้ำทั้งสอง เพื่อใช้ลำเลียงยุทธสัมภาระต่าง ๆ ข้ามแม่น้ำแล้วให้กรรมกรขนถ่ายยุทธสัมภาระขึ้นตู้รถไฟต่อไป
เมื่อสงครามสงบ กรมรถไฟ ได้รับอนุมัติงบประมาณให้ดำเนินการซ่อมสะพานเหล็กที่ถูกพันธมิตรทิ้งระเบิดเสียหาย ช่วงที่ 4,5,และ 6 ตั้งแต่ พ.ศ.2493-2495 การซ่อมในคั้งนั้นได้ยุบตอม่อกลางน้ำตัวที่ 5-6แล้วสร้างเป็นสะพานเหล็ก 2 ช่วง แทนของเดิม กับเปลี่ยนช่วงสะพานไม้ด้านปลายทางเป็นสะพานเหล็กขนาด 15.35 เมตร จำนวน 6 ช่วง แทนสะพานไม้ รวมความยามทั้งสิ้น 322.90 เมตร
นอกจาก “สะพานข้ามแม่น้ำแคว” แล้ว “สะพานถ้ำกระแซ” กิโลเมตรที่ 174+173ก็เป็นอีกสะพานหนึ่งที่ได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ เนื่องจากเป็นสะพานไม้ที่สร้างในที่จำกัดเลียบไปตามหน้าผาริมแม่น้ำแควน้อย เป็นความยาวประมาณ 340 เมตร ในเบื้องต้น การวางรางในที่จำกัดและเร่งด่วนทำให้ไม่ได้มาตรฐาน เป็นเหตุให้ขบวนรถตกรางลงไปข้างล่าง บ่อยครั้งจนเป็นที่เลื่องลือ แต่ต่อมากองทัพญี่ปุ่นได้ทำการแก้ไขให้สะพานมั่งคงดีขึ้นตามลำดับ
ปี 2534-2535 การรถไฟฯ ได้ปรับปรุงแก้ไขตัวสะพานครั้งใหญ่ เพื่อให้โครงสร้างตัวสะพาน มีความแข็งแรงมั่นคง โดยได้ทำการเปลี่ยนเสาตับไม้และเทคอนกรีตหุ้มธรณีคอนกรีตเดิมพร้อมกับทำธรณีคอนกรีตขึ้นใหม่เพื่อเสริมความแข็งแรงปลอดภัยยิ่งขึ้น และสะพานแห่งนี้ยังคงใช้การได้ดีจนถึงทุกวันนี้
การจัดแสดงแสงและเสียง “งานสะพานข้ามแม่น้ำแคว” การแสดงแสงและเสียงในประเทศไทย มีมาตั้งแต่ พ.ศ.2519 โดยกรมศิลปากร ร่วมกับกองทัพเรือจัดขึ้นที่วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร ต่อมาในปี พ.ศ.2520 กรมศิลปากรจัดขึ้นในงานแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราชที่พระนารายณ์ราชนิเวศน์ แต่ยังไม่เป็นที่รู้จักกว้างขวางมากนัก
ต่อมาการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(องคก์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ อ.ส.ท. ในขณะนั้น)จัดการแสดงแสงและเสียง “สะพานข้ามแม่น้ำแคว” ขึ้นในงานสัปดาห์สะพานข้ามแม่น้ำแควจังหวัดกาญจนบุรี ในปี พ.ศ.2523 อันเป็นปีท่องเที่ยวไทย กิจกรรมนี้จึงเป็นที่แพร่หลายมากขึ้นและมีการจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี จนถึงปัจจุบัน
สำหรับการจัดงานสัปดาห์สะพานข้ามแม่น้ำแควและงานกาชาดจังหวัดกาญจนบุรี ประจำปี 2564 ได้กำหนดจัดขึ้น 10 วัน ระหว่างวันที่ 17-26 ธันวาคม 2564 ที่บริเวณลานข้างองค์การบริหารส่วนจังหวัดกาญจนบุรีและที่สะพานข้ามแม่น้ำแคว ต.ท่ามะขาม อ.เมืองกาญจนบุรี สำหรับปีนี้เปิดให้เข้าชมการแสดงแสง สี เสียง และเข้าชมภายในงานฟรี ภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเคร่งครัด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โดยเมื่อวันที่ 2 ธ.ค.ที่ผ่านมา นายจีระเกียรติ ภูมิสวัสดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี พร้อมด้วย นางรชยา ภูมิสวัสดิ์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดกาญจนบุรี นายชำนาญ ชื่นตา รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี รวมทั้ง ดร.กิรดา ลำโครัตน์ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกาญจนบุรี ดร.นพดล สงวนพันธ์ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกาญจนบุรี
พ.ต.อ.บรรจง อมฤทธิ์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดกาญจนบุรี นายอนุชา วรหาญ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดกาญจนบุรี นายทรงวุฒิ ศีลแดนจันทร์ ผู้แทนสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดกาญจนบุรี ได้ร่วมกันแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนอย่างเป็นทางการที่โรงภาพยนตร์เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ ศูนย์การค้า TMK Park อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี โดยมีนายวรพัทธ์ แต้มแก้ว ผู้รับสิทธิ์การจัดกิจกรรมภายในงานฯเข้าร่วมแถลง ส่วนการแสดง แสง เสียง (Light and Sound ) ย้อนรอยประวัติศาสตร์สะพานข้ามแม่น้ำแควสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปีนี้ ใช้ชื่อชุดการแสดงว่า “ย้อนรอยโศกนาฏกรรม สู่สันติภาพ”
สำหรับกฎกติกาการเข้าชม ทุกคนที่มาภายในงานจะต้องแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีนโควิด-19 มาแล้วอย่างน้อย 2 เข็ม ส่วนผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนต้องมีผลยืนยันการตรวจหาเชื้อด้วย ATK มาแล้วไม่น้อยกว่า 72 ชั่วโมง ทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลาและต้องผ่านจุดคัดกรองเพื่อวัดอุณหภูมิ หากเป็นคนไทยขอแค่นำบัตรประชาชนมาแสดง ส่วนนักท่องเที่ยวที่เป็นชาวต่างชาติแค่นำพาสปอร์ตมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่เท่านั้น ก็สามารถเข้าชมฟรีได้แล้ว