วันที่ 7 มี.ค.65 ที่ทำเนียบรัฐบาล พญ.สุมนี วัชรสินธุ์ ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ กรมควบคุมโรค ในฐานะผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศไทยตอนหนึ่งว่า สำหรับ 10 จังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุดในวันที่ 7 มี.ค. ประกอบด้วย กทม. 2,803 ราย นครศรีธรรมราช 1,042 ราย สมุทรปราการ 872 ราย ชลบุรี 784 ราย นนทบุรี 723 ราย สมุทรสาคร 659 นาย นครราชสีมา 614 ราย ภูเก็ต 592 ราย นครปฐม 589 ราย พระนครศรีอยุธยา 567 ราย โดยพบคลัสเตอร์ใหม่ในกทม. คือ คลัสเตอร์ก่อสร้างที่เขตคลองสามวา ส่วน 5 เขต ที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดในกทม. ได้แก่ หลักสี่ บางซื่อ หนองแขม วัฒนา และดินแดง นอกจากนี้ ยังให้มีการเฝ้าระวังจังหวัดชายแดน จ.ตากและจ.สระแก้ว เนื่องจากมีตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น เพราะมีแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้ามา จึงให้ ศปม. และประชาชนในพื้นที่เป็นหูเป็นตา คัดกรอง ตรวจสอบ เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาด
พญ.สุมนี กล่าวว่า ในส่วน 10 จังหวัด ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อที่ปอดอักเสบสูงสุด ได้แก่ กทม. 182 ราย สมุทรปราการ 75 ราย นนทบุรี 52 ราย ภูเก็ต 46 ราย นครศรีธรรมราช 46 ราย ชลบุรี 42 ราย สุราษฎร์ธานี 41 ราย กาญจนบุรี 41 นครราชสีมา 34 ราย เชียงใหม่ 34 ราย สำหรับสถานการณ์การครองเตียงของผู้ป่วยปอดอักเสบอยู่ที่ 23.33% ส่วนอัตราครองเตียงของผู้ป่วยทั่วประเทศอยู่ที่ 57.8% แบ่งเป็นผู้ป่วยระดับสีเหลือง 15.1% เหลืองเข้ม 25.1% สีแดง 25% อย่างไรก็ตาม โรคที่พบร่วมกับผู้เสียชีวิตในช่วงนี้ ได้แก่ โรคมะเร็งระยะสุดท้าย โรคไตวายเรื้อรัง ภาวะติดเตียง และโรคอ้วน ซึ่งเจอมากกว่าโรคอื่นๆ
พญ.สุมนี กล่าวว่า ในช่วงก่อนวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ที่จะต้องมีการกลับไปทำกิจกรรมร่วมกัน ขอให้คนในครอบครัวพาผู้สูงอายุ กลุ่มโรคเสี่ยง และเด็กเล็กซึ่งมีตัวเลขชีวิตมากขึ้นในช่วงนี้ เนื่องจากไม่มีภูมิคุ้มกันและยังไม่ได้รับวัคซีน ไปฉีดวัคซีน นอกจากนี้ ในช่วงนี้เป็นช่วงที่เด็กปิดเทอม สถานที่เสี่ยงหลักคือ ตู้เกม จึงขอให้ผู้ปกครองไปตรวจตราดูว่าเป็นสถานที่ปิด มีความแออัดหรือไม่ โดยเฉพาะเด็กเล็กที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ หากติดเชื้อจะมีอาการมากกว่าผู้ใหญ่ ซึ่งหากไปทำกิจกรรมที่ไหนมา ขอให้สังเกตอาการทางเดินหายใจ หากมีน้ำมูก ไอ ให้สุ่มตรวจด้วย ATK ทันที
พญ.สุมนี กล่าวว่า ช่วงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ปีนี้จะเป็นช่วงหยุดยาวหลายวันตั้งแต่วันพุธที่ 13 – 15 เม.ย. และติดเสาร์-อาทิตย์อีกรวมแล้วอย่างน้อย 5 วัน ทางกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้นำเสนอมาตรการป้องกันควบคุมโรคในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ต่อที่ประชุม ศปก.ศบค. และ อีโอซี กระทรวงสาธารณสุข โดยมีประเด็นที่สำคัญเนื่องในวันหยุดยาวเราต้องประเมินว่ามีความเสี่ยงที่จะติด โควิด-19 จากกิจกรรมใดบ้าง ได้แก่ การเดินทางกลับภูมิลำเนา การรวมตัวของญาติพี่น้อง การพบปะสังสรรค์ การรับประทานอาหารร่วมกันและมีการทำกิจกรรมในช่วงวันสงกรานต์ ทั้งรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ สาดน้ำประแป้ง กิจกรรมรื่นเริงต่างๆ สถานที่ที่ต้องเฝ้าระวังในช่วงสงกรานต์นี้มีตั้งแต่ขนส่งสาธารณะ สถานีขนส่ง ทั้งเครื่องบิน รถโดยสาร รถตู้ รถประจำทาง ปั๊มน้ำมัน จุดพักรถ นอกจากนี้ สถานที่เสี่ยงที่สำคัญยังมีที่บ้าน ร้านอาหาร ศาสนสถาน วัด หรือที่ที่ทำกิจกรรมร่วมกัน หรือสถานที่ท่องเที่ยว ในแต่ละพื้นที่ ได้แก่ โรงแรมห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์
ทั้งนี้ในที่ประชุมมีการพูดคุยว่าในช่วงสงกรานต์ที่จะถึงนี้ ไม่ได้มีการงด การกัก การห้ามเดินทางข้ามจังหวัด แต่ยังคงต้องอยู่ภายใต้มาตรการความปลอดภัย ได้แก่ มาตรการหลัก คือ V U C A คือ วัคซีน มาตรการส่วนบุคคลแบบครอบจักรวาล โควิดฟรีเซ็ตติ้ง สุ่มตรวจด้วยATK ทั้งก่อนเดินทางไปและกลับจากต่างจังหวัด เมื่อกรมอนามัยได้นำเสนอแล้วในที่ประชุมได้มีการพูดคุยเพิ่มเติมเนื่องจากการพิจารณามาตรการในช่วงสงกรานต์ที่เป็นวันหยุดยาวนั้นมีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และจะต้องมีการพูดคุยเพื่อที่จะได้นำข้อมูลต่างๆ ที่จะต้องพิจารณามาตรการไปพร้อมกับสถานการณ์ในช่วงนี้เพื่อนำเข้าที่ประชุมศบค.ชุดใหญ่ที่จะมีขึ้นในวันที่ 18 มี.ค.นี้ โดยที่เรื่องเกี่ยวกับมาตรการของช่วงเทศกาลสงกรานต์นั้นจะต้องพิจารณาจากหน่วยงานทั้งหมด 6 หน่วยงานหลัก ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข มหาดไทย คมนาคม การท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงวัฒนธรรม